ความชุกและปัจจัยเสี่ยงของภาวะเลือดจางของหญิงมีครรภ์ โรงพยาบาลสมเด็จ จังหวัดกาฬสินธุ์

ผู้แต่ง

  • ณรงชัย ผิวคำศรีบุญเรือง

คำสำคัญ:

ปัจจัยเสี่ยง, ภาวะเลือดจางในหญิงมีครรภ์

บทคัดย่อ

          การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความชุกและ ปัจจัยเสี่ยงของภาวะเลือดจางในหญิงตั้งครรภ์ที่มาฝากครรภ์ครั้งแรกที่โรงพยาบาลสมเด็จโดยได้ทำการศึกษาจากการเก็บข้อมูลย้อนหลังจากแฟ้มประวัติของหญิงตั้งครรภ์ที่มาฝากครรภ์ครั้งแรกที่โรงพยาบาลสมเด็จ จังหวัดกาฬสินธุ์ ระหว่างวันที่1 ตุลาคม พ.ศ.2552 ถึง31 สิงหาคม พ.ศ. 2553 จำนวน 411 ราย วิเคราะห์ข้อมูลโดย ร้อยละ และ Odd ratio โดยใช้สถิติ chi-square test

          ผลการศึกษา พบว่า หญิงตั้งครรภ์ทั้งหมด 411 ราย มีภาวะเลือดจาง 43ราย พบความชุกของภาวะเลือดจางคิดเป็นร้อยละ 10.46  ส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 20-34 ปี ร้อยละ 63.02 อาชีพแม่บ้าน ร้อยละ 35.04 ความชุกของภาวะเลือดจาง   ร้อยละ 16.67 อาศัยอยู่ในอำเภอสมเด็จ นอกเขตเทศบาล ร้อยละ 74.21 ความชุกของภาวะเลือดจางร้อยละ 9.84  ระดับการศึกษาอยู่ในระดับประถมศึกษา ร้อยละ 32.12 ความชุกของภาวะเลือดจางร้อยละ 11.36  รายได้อยู่ระหว่าง 2,500-5,000 บาท /เดือน  ร้อยละ 86.37 ความชุกของภาวะเลือดจางร้อยละ 10.99  อายุครรภ์ น้อยกว่าหรือเท่ากับ 14 เดือน ร้อยละ 56.69 ความชุกของภาวะเลือดจางร้อยละ 3.86  สำหรับ ปัจจัยเสี่ยงที่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (P<0.05)  ได้แก่ อายุครรภ์ในสตรีตั้งครรภ์ระหว่าง 14-28 สัปดาห์  มีความเสี่ยงสูงเป็น 3.81 เท่า รองลงมาคืออาชีพแม่บ้าน มีความเสี่ยงสูงเป็น 2.61 เท่า และลำดับสุดท้ายคืออายุของสตรีตั้งครรภ์น้อยกว่า 20 ปี มีความเสี่ยงสูงเป็น   2.15  เท่า

เอกสารอ้างอิง

Duffy TP. Hematologic aspects of pregnancy. In : Burrow GN, Duffy TP, editors. Medical complications during pregnancy. 5th ed. Philadelphia : W.B.Saunders, 1999 : 79-95.

พิชัย โชตินพรัตน์ภัทร, สมภพ ลิ้มพงศานุรักษ์,พงศ์ศักดิ์ จันทร์งาม. ความชุกของภาวะโลหิตจางในสตรีตั้งครรภ์ที่คลินิกฝากครรภ์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์.จุฬาลงกรณ์เวชสาร 2546;47(4):223-30

อุ่นใจ กออนันตกุล. อุบัติการของเลือดจางในสตรีที่มาฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์. สงขลา นครินทร์เวชสาร 2531; 2 : 239-44

ภาวะโลหิตจางของหญิงมีครรภ์ พ.ศ. 2532. สถิติ : สตรีกับสุขภาพ. กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข 2533

มานิต หงส์วินิตกุล. ภาวะโลหิตจางในหญิงมีครรภ์ โรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี. วารสารการแพทย์กลุ่มเครือข่าย 2537;6 : 59-65

ถวัลย์วงค์ รัตนสิริ,ชุติมา เจริญสินทรัพย์. . ความชุกของภาวะเลือดจางในสตรีตั้งครรภ์ที่มาฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์. ศรีนครินทร์เวชสาร 2547;19(4):189-97.

ภาวะโลหิตจางในสตรีที่มาฝากครรภ์ ณ โรงพยาบาลลำปาง: ความชุก สาเหตุ และปัจจัยเสี่ยง.ลำปางเวชสาร2552;1:28-37

Treatments for iron-deficiency anemia in pregnancy. The WHO Reproductive Health Library (online)2008 (cited 2008 May 24). Available from: URL:http://www.who.int/ rhl/pregnancy- childbirth/medical/anemia/cfcom/en/.

Centers of Disease Control and Prevention. Recommendations to prevention and control iron deficiency in the United States. MMWR Recomm Rep(online) 1998 Apr(cited 2008 May 24);3(47 RR-3):(2 screens). Available from: URL:hppt://www.cdc.gov/mmwR/preview/mmwrhtm/00051880.htm

Chaturachinda K. Anemia of pregnancy: an epidemiologic study,J Med Assoc Thai 1972;55(2):94-100

Ogbeide O, Wagbutsoma V, Orhue A. Anemia in pregnancy. East Apr Med J 1994; 71: 671-3

Mahfong AA, Said MM, Alakija W, Badawi IA, Erian RA, Moneim MA. Anemia among prgnancy women in the Asia region. Southeast Asian J Trop Med Pulbic Health 1994; 25 : 84-7.

Cunningham FG, MacDonald PC, Gant NF, Leveno KJ, Gilstrap LC III, Hankins GDV, et al. Williams obstetrics. 20th ed. Connecticut : Appleton & Lange, 1997 : 569-78, 1173-202.

Chotnopparatpattara p, Limpongsanurak S, Charnngam P. The prevalence and risk factors of anemia in pregnant women. J Med Assoc Thai 2003;86(11): 1001-7

Desalegn S. Prevalence of anemia in pregnancy in Jimatown. Ethiop Med J 1993; 31 : 251-8

นันทยา ตัณฑชุณห์. ภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กในหญิงตั้งครรภ์. วารสารวิชาการแพทย์เขต 6 2535; 6 : 339-46.

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2021-10-29

รูปแบบการอ้างอิง

ผิวคำศรีบุญเรือง ณ. . . (2021). ความชุกและปัจจัยเสี่ยงของภาวะเลือดจางของหญิงมีครรภ์ โรงพยาบาลสมเด็จ จังหวัดกาฬสินธุ์. วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม, 7(4), 9–19. สืบค้น จาก https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/254515

ฉบับ

ประเภทบทความ

บทความวิจัย