ค่าใช้จ่ายยาต้านจุลชีพและผลการใช้นโยบายจำกัดการใช้ยาต้านจุลชีพ
คำสำคัญ:
ค่าใช้จ่ายยาต้านจุลชีพ, นโยบายจำกัดการใช้ยาต้านจุลชีพบทคัดย่อ
การใช้ยาต้านจุลชีพไม่เหมาะสมก่อให้เกิดเชื้อดื้อยาหรือโรครุนแรงมากขึ้น ส่งผลต่อค่าใช้จ่ายด้านยาสูงขึ้น โรงพยาบาลจึงมีนโยบายการจำกัดและควบคุมการใช้ยาเพื่อให้มีการใช้ยาสมเหตุสมผล การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาค่าใช้จ่ายยาต้านจุลชีพ และประเมินผลการใช้นโยบายจำกัดการใช้ยาต้านจุลชีพ โรงพยาบาลมหาสารคาม ศึกษาข้อมูลเชิงพรรณนาแบบย้อนหลัง เก็บข้อมูลปีงบประมาณ 2554 – 2556 จากระบบสารสนเทศออนไลน์ ผลการศึกษาพบว่าในปีงบประมาณ 2554 – 2556 มูลค่าการใช้ยาต้านจุลชีพเป็น 50.68 ล้านบาท 65.18 ล้านบาท และ 55.35 ล้านบาท ตามลำดับ ในปีงบประมาณ 2555 มูลค่าการใช้ยาเพิ่มขึ้นร้อยละ 28.61 แต่ในปีงบประมาณ 2556 มูลค่าการใช้ยานี้ลดลงร้อยละ 15.08 จากปีงบประมาณ 2555 กลุ่มยา Cephalosporins, Cephamycins and other beta-lactams มีมูลค่าใช้สูงสุดตลอดสามปีเป็น 28.76 ล้านบาท (ร้อยละ 56.76) , 33.59 ล้านบาท (ร้อยละ 51.53 ) และ 28.12 ล้านบาท (ร้อยละ 50.80 ) มูลค่าการใช้ยากลุ่มนี้เพิ่มขึ้นในปีงบประมาณ 2555 ร้อยละ 16.77 แต่ลดลงในปีงบประมาณ 2556 ร้อยละ 16.29 ยาที่มีมูลค่าการใช้ยาสูงในกลุ่มนี้คือ Imipenem 0.5 g, cilastatin 0.5 g injection และ Sulbactam 0.5 g, cefoperazone 1g injection ผู้ป่วยในมีมูลค่าการใช้ยาต้านจุลชีพแต่ละปี ร้อยละ 92.40 , 94.30 และ 93.30 ของมูลค่ายาต้านจุลชีพทั้งหมด ผลการประเมินการใช้นโยบายจำกัดการใช้ยาในปีงบประมาณ 2556 มียาจำนวน 19 รายการที่นำมาควบคุมการใช้ยา พบ 4 รายการที่มีปริมาณการใช้เพิ่มขึ้น มูลค่าใช้ยาเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.86 มียาจำนวน 11 รายการมีปริมาณการใช้ลดลง มูลค่าใช้ยาลดลงร้อยละ 34.82 ( 10,176,075.24 บาท ) ยาจำนวน 3 รายการมี ปริมาณการใช้เพิ่มขึ้นแต่มูลค่าใช้ยาลดลงร้อยละ 18.58 มียารายการเดียวที่มีปริมาณการใช้ลดลงแต่มูลค่าใช้ยาเพิ่มขึ้น การเปลี่ยนจากยาต้นแบบเป็นยาสามัญจำนวนสามรายการสามารถลดค่าใช้จ่ายได้ 6,586,482.40 บาท คิดเป็นร้อยละ 11.90 ของมูลค่ายาต้านจุลชีพในปีงบประมาณ 2556 โดยสรุปการนำนโยบายจำกัดการใช้ยาไปสู่การปฏิบัติที่ชัดเจน มีการทบทวนการสั่งใช้ยาและกำกับติดตามผลอย่างสม่ำเสมอสามารถลดปริมาณการใช้ยาและค่าใช้จ่ายยาต้านจุลชีพ
เอกสารอ้างอิง
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา.[อินเทอร์เนต].กรุงเทพฯ:งานบริการข้อมูลผลิตภัณฑ์สุขภาพผ่านอินเตอร์เนต; c2011 [update2011; cited 2013 nov 4]. http://fdaolap.fda.moph.go.th/logistics/drgdrug/Dserch.asp.
นิธิมา สุ่มประดิษฐ์. การส่งเสริมการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุผล : กรณีศึกษาโครงการ Antibiotics Smart Use. จุลสาร 2552;2(7):4-3.
Charani E, Edwards R, Sevdalis N, Alexandrou B, Sibley E, Mullett D, et al. Behavior change strategies to influence antimicrobial prescribing in acute care: a systematic review. Clin Infect Dis. 2011;53(7): 651-62.
Vazquez-Lago JM, Lopez-Vazquez P, López-Durán A,Taracido-Trunk M, Figueiras A. Attitudes of primary care physicians to the prescribing of antibiotics and antimicrobial resistance: a qualitative study from Spain. Fam Pract. 2012 ; 29(3): 352–60.
วิษณุ ธรรมลิขิตกุล. การดื้อยาต้านจุลชีพ : ความสำคัญต่อระบบสุขภาพและแนวทางการควบคุมและป้องกัน.วารสารวิจัยระบบสาธารณสุข 6,3 (ก.ค. –ก.ย. 2555) :300-5.
ขวัญสุดา ชาติโสม, สุพล ลิมวัฒนานนท์, จุฬาภรณ์ ลิมวัฒนานนท์, อรอนงค์ วจีขจรเลิศ และธนนรรจ์ รัตนโชติพานิช. การใช้ยาต้นแบบในยาที่มีผู้จำหน่ายหลายรายในโรงพยาบาลภาครัฐ. Graduate Research Conference 2013:1051-59.
สุพล ลิมวัฒนานนท์, จุฬาภรณ์ ลิมวัฒนานนท์, อรอนงค์ วลีขจรเลิศ และคณะ. การควบคุมราคายา: บทเรียนจากอดีต ข้อค้นพบปัจจุบัน และข้อเสนอสำหรับอนาคต.วารสารวิจัยระบบสาธารณสุข 2555;6(2) :136- 43.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
วารสารนี้เป็นลิขสิทธิ์ของโรงพยาบาลมหาสารคาม