โปรแกรมการประยุกต์ใช้ทฤษฎีแรงจูงใจเพื่อป้องกันโรค ร่วมกับแรงสนับสนุนทางสังคมในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการปฏิบัติตัวเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ในเขตตำบลโพธิ์ชัย อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ
คำสำคัญ:
ทฤษฎีแรงจูงใจ, แรงสนับสนุนทางสังคม, ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2บทคัดย่อ
วัตถุประสงค์ การศึกษาครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษาโปรแกรมการประยุกต์ใช้ทฤษฎีแรงจูงใจเพื่อป้องกันโรค ร่วมกับแรงสนับสนุนทางสังคม ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการปฏิบัติตัวเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ในเขตตำบลโพธิ์ชัย อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ
รูปแบบ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi – Experimental Research) กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลินที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ จำนวน 79 คน เป็นกลุ่มทดลอง 40 คน ในพื้นที่ของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลโพธิ์ชัย อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ และกลุ่มเปรียบเทียบ 39 คน ในพื้นที่ของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลตาเกษ อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ กลุ่มทดลองได้รับการจัดกิจกรรมเป็นระยะเวลา 12 สัปดาห์ ตามโปรแกรมที่พัฒนาขึ้นโดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีแรงจูงใจเพื่อป้องกันโรค ร่วมกับแรงสนับสนุนทางสังคม เพื่อจัดระบบบริการสุขภาพ ที่สอดคล้อง กับสภาพความจริงของผู้ป่วยและบริบทในพื้นที่ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเป็นสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าต่ำสุด-สูงสุด สถิติเชิงอนุมานได้แก่ Paired t-test และ Independent t-test
ผลการวิจัย พบว่า หลังการทดลองกลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยในเรื่อง 1) การรับรู้ความรุนแรงของโรคเบาหวาน 2) การรับรู้โอกาสเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน 3) ความคาดหวังในประสิทธิผลของการตอบสนองต่อพฤติกรรมการปฏิบัติตัวเพื่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด 4) ความคาดหวังในความสามารถของตนเองต่อพฤติกรรมการปฏิบัติตัว เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด 5) พฤติกรรมการปฏิบัติตัวเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ในเรื่อง การรับประทานอาหาร การรับประทานยา และการออกกำลังกาย 6) การได้รับแรงสนับสนุนทางสังคมในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เพิ่มขึ้นกว่าก่อนการทดลอง และมีค่ามากกว่ากลุ่มเปรียบเทียบ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ 0.05 (P-value<0.001) และพบว่า ค่าเฉลี่ยระดับน้ำตาลในเลือดภายหลังการทดลองลดลงกว่าก่อนการทดลอง และน้อยกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (P-value<0.001)
โดยสรุป การวิจัยครั้งนี้สามารถนำแนวคิดการจัดการระบบบริการสุขภาพที่มีการประยุกต์ใช้ ทฤษฎีแรงจูงใจเพื่อป้องกันโรค ร่วมกับแรงสนับสนุนทางสังคม ไปใช้ในการดำเนินงานเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวาน และลดความเสี่ยงการเกิดภาวะแทรกซ้อนของโรคในชุมชนได้ ซึ่งหน่วยบริการปฐมภูมิในระดับพื้นที่สามารถพิจารณาทางเลือกที่เหมาะสมในการจัดบริการสุขภาพในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นอีกทางเลือกหนึ่ง ในการพัฒนาระบบบริการสุขภาพในระดับปฐมภูมิต่อไป
เอกสารอ้างอิง
กรมควบคุมโรค. ประเด็นรณรงค์เบาหวานโลก ปี 2553 (ปีงบประมาณ 2554). (ออนไลน์). ได้จาก http://www.worlddiabetesday.org/en/the-campaign/diabetes-education-and-prevention/diabetes-prevention (สืบค้นเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2554).
กรมควบคุมโรค. รายงานประจำปี 2554. สำนักงานกิจการโรงพิมพ์องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกในพระบรมราชูปถัมถ์. กรุงเทพ; 2554.
กรมควบคุมโรค. สื่อเบาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง. สำนักงานกิจการโรงพิมพ์องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกในพระบรมราชูปถัมถ์.กรุงเทพ; 2554.
เยาวลักษณ์ วงศ์ชาญศรี. การจัดการเพื่อสร้างแรงจูงใจเพื่อป้องกันโรคของผู้ป่วยเบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลิน จังหวัดนครพนม. วิทยานิพนธ์ ส.ม. มหาสารคาม :
มหาวิทยาลัยมหาสารคาม; 2550.
โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลโพธิ์ชัย. ระบบข้อมูลสถิติและสารสนเทศ. ศรีสะเกษ : โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลโพธิ์ชัย; 2553.
สมบัติ ท้ายเรือคำ. ระเบียบวิธีวิจัยสำหรับมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ 4, มหาสารคาม : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยมหาสารคาม; 2553.
สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ สำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุข. สถิติสาธารณสุข 2541-2552 (ออนไลน์). ได้จาก http://bps.ops.moph.go.th/ index.php?mod=bps&doc=5 (สืบค้นเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2554).
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
วารสารนี้เป็นลิขสิทธิ์ของโรงพยาบาลมหาสารคาม