ประสิทธิผลของโปรแกรมพัฒนาศักยภาพผู้ดูแลคนพิการทางการเคลื่อนไหว
DOI:
https://doi.org/10.60099/jtnmc.v40i01.270360คำสำคัญ:
การพัฒนาศักยภาพ, ผู้ดูแล, คนพิการทางการเคลื่อนไหว , ทักษะการดูแล , ความรู้ในการดูแลบทคัดย่อ
บทนำ คนพิการทางการเคลื่อนไหวจำเป็นต้องได้รับการดูแลจากผู้ดูแลที่มีความรู้และทักษะ เพิ่มเติมจากญาติผู้ดูแลเพื่อให้การฟื้นฟูสมรรถภาพทางร่างกาย จิตใจ สิ่งแวดล้อม และสิทธิประโยชน์/สวัสดิการ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้มีการอบรมผู้ดูแลตามหลักสูตรของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข แต่ในปัจจุบันการดูแลยังไม่ครอบคลุมถึงความรู้และทักษะเฉพาะที่จำเป็นสำหรับการดูแลคนพิการ จึงเป็นช่องว่างที่สำคัญในระบบการดูแลระยะยาว ทำให้ผู้ดูแลขาดความมั่นใจในการจัดการดูแลคนพิการทางการเคลื่อนไหวได้อย่างเหมาะสม
วัตถุประสงค์ของการวิจัย เพื่อประเมินประสิทธิผลของโปรแกรมพัฒนาศักยภาพผู้ดูแลคนพิการทางการเคลื่อนไหวในชุมชนแห่งหนึ่งของจังหวัดทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ วัตถุประสงค์เฉพาะ ได้แก่ 1) เพื่อเปรียบเทียบความรู้ของผู้ดูแลคนพิการทางการเคลื่อนไหว ก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรมฯ และ 2) เพื่อเปรียบเทียบทักษะของผู้ดูแลคนพิการทางการเคลื่อนไหว ก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรมฯ
การออกแบบการวิจัย การวิจัยแบบกึ่งทดลอง ชนิดกลุ่มเดียววัดก่อนและหลังการทดลอง กรอบแนวคิดของการศึกษาครั้งนี้พัฒนาขึ้นจากทฤษฎีการเรียนรู้เชิงประสบการณ์ของโคล์บ โปรแกรม พัฒนาศักยภาพผู้ดูแลคนพิการทางการเคลื่อนไหว ประกอบด้วย 4 ขั้น 5 กิจกรรมคือ 1) ขั้นประสบการณ์เพื่อนำเอาประสบการณ์เดิมไปสู่การเรียนรู้และเพิ่มทักษะของผู้ดูแล (กิจกรรมที่ 1 ล้อมวง เล่าเรื่อง) 2) ขั้นสะท้อนความคิดและอภิปราย เพื่อทบทวน สะท้อนความคิด และวิเคราะห์ประสบการณ์ที่ผ่านมา (กิจกรรมที่ 2 ช่วยกันคิด พิชิตความพิการ) 3) ขั้นความคิดรวบยอด เพื่อสรุปผลการเรียนรู้จากการ สะท้อนคิด การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ และอภิปรายร่วมกันและสรุปเป็นแนวทางวิธีการใหม่ในการเสริมสร้างทักษะของผู้ดูแล (กิจกรรมที่ 3 รวบความคิด ผลิตแนวใหม่) และ 4) ขั้นการทดลอง และ ประยุกต์แนวคิด เพื่อนำแนวทางและวิธีการใหม่ไปทดลองปฏิบัติ เพื่อสร้างความรู้และทักษะของผู้ดูแล ผ่านการเรียนรู้จากประสบการณ์ ทำให้เกิดความมั่นใจและเกิดพลังสู่ความต่อเนื่องยั่งยืน (กิจกรรมที่ 4 รู้แล้ว ต้องฝึกฝน และ กิจกรรมที่ 5 เติมพลัง สู่ความยั่งยืน)
วิธีดำเนินการวิจัย กลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วย ผู้ดูแล 30 คน ที่ผ่านการอบรมหลักสูตรการ ดูแลผู้สูงอายุ 70 ชั่วโมง ของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข และปฏิบัติงานในเขตรับผิดชอบของศูนย์แพทย์ชุมชน การเลือกตัวอย่างเป็นแบบเฉพาะเจาะจงตามเกณฑ์คัดเข้าคือ 1) อายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี 2) สามารถสื่อสารภาษาไทยได้ดี ทั้งการพูด การอ่าน และการเขียน และ 3) ยินดีเข้าร่วมกิจกรรมตลอด การวิจัย เครื่องมือการวิจัย ได้แก่ 1) โปรแกรมพัฒนาศักยภาพผู้ดูแลคนพิการทางการเคลื่อนไหว 2) บัญชีไลน์อย่างเป็นทางการ “ฮักแพงเบิ่งแยง ADL” 3) คู่มือการส่งเสริมฟื้นฟูการทำกิจวัตรประจำวัน 4) วิดีโอ “ฮักแพง เบิ่งแยง ADL” 5) แบบประเมินความรู้ของผู้ดูแลคนพิการทางการเคลื่อนไหว และ 6) แบบประเมินทักษะของผู้ดูแลคนพิการทางการเคลื่อนไหว ดัชนีความตรงตามเนื้อหาของโปรแกรม เท่ากับ .94 ค่าความเชื่อมั่นโดยสัมประสิทธิ์ของคูเดอร์ริชาร์ดสัน-20 ของแบบประเมินความรู้เท่ากับ .82 สัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคของแบบประเมินทักษะของผู้ดูแลเท่ากับ .91 เก็บรวบรวมข้อมูล ตั้งแต่เดือนมกราคม ถึงมีนาคม 2567 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และการทดสอบทีคู่
ผลการวิจัย กลุ่มตัวอย่างทั้งหมดเป็นเพศหญิง อายุเฉลี่ย 55.67 ปี (ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน 5.82) ส่วนใหญ่มีสถานภาพสมรสคู่ (ร้อยละ 76.67) ระดับการศึกษาอยู่ในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ตอนปลาย/ปวส. เท่ากัน (ร้อยละ 36.67) ส่วนใหญ่มีประสบการณ์เป็นผู้ดูแลและเคยอบรมการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการทางการเคลื่อนไหว (ร้อยละ 83.33) ผลการศึกษา พบว่า หลังเข้าร่วมโปรแกรมฯ ผู้ดูแลคนพิการมีคะแนนเฉลี่ยความรู้ (M = 18.73, SD = 1.72) มากกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมฯ (M = 12.73, SD = 3.04) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t = 16.716, p < .001) เมื่อเปรียบเทียบทักษะ พบว่า หลังเข้าร่วม โปรแกรมฯ ผู้ดูแลคนพิการมีคะแนนเฉลี่ยทักษะ (M = 55.03, SD = 4.85) มากกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมฯ (M = 36.60, SD = 7.53) อย่างนัยสำคัญทางสถิติ (t = 10.087, p < .001) เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า หลังเข้าร่วมโปรแกรมฯ ผู้ดูแลมีทักษะทุกด้าน ได้แก่ ด้านร่างกาย ด้านจิตใจ ด้านครอบครัว ด้านสิ่งแวดล้อม และด้านสิทธิประโยชน์/สวัสดิการ มากกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมฯ อย่างนัยสำคัญทางสถิติ (t = 11.556, p <.001; t = 7.837, p <.001; t = ; 7.900, p <.001; t = 6.816 p <.001; t = 12.976, p <.001ตามลำดับ) ผลการศึกษาครั้งนี้ชี้ให้เห็นถึงประสิทธิผลของโปรแกรมพัฒนาศักยภาพผู้ดูแลคนพิการทางการเคลื่อนไหวในการส่งเสริมความรู้และทักษะของผู้ดูแล อย่างไรก็ตาม ในการศึกษาครั้งนี้มีข้อจำกัดคือ ผู้วิจัยเป็นผู้ประเมินทักษะของผู้ดูแลคนพิการ จึงอาจเกิดอคติจาก ความไม่ตั้งใจได้ อีกทั้งเป็นการศึกษาที่มีตัวอย่างกลุ่มเดียว เป็นข้อจำกัดของการออกแบบวิจัย
ข้อเสนอแนะ พยาบาลชุมชนและทีมสุขภาพสามารถนำโปรแกรมพัฒนาศักยภาพผู้ดูแลคนพิการ ทางการเคลื่อนไหวในการศึกษาครั้งนี้ไปประยุกต์ใช้ส่งเสริมความรู้และทักษะของผู้ดูแลคนพิการ ทางการเคลื่อนไหวที่มีลักษณะคล้ายกลุ่มตัวอย่าง การศึกษาครั้งต่อไปควรออกแบบการวิจัยเป็นเชิง ทดลองโดยมีกลุ่มควบคุม และติดตามประเมินทักษะของผู้ดูแล รวมทั้งผลลัพธ์ของคนพิการ
Downloads
เอกสารอ้างอิง
Department of Promotion and Development of Quality of Life for Persons with Disabilities. Report on the situation of people with disabilities in Thailand, 2022. Available from: https://dep.go.th/images/upload/uploads/files/Situation_dep64.pdf (in Thai)
Nong Khai Provincial Public Health Office. Report on the results of public health operations. Nong Khai Provincial; 2022.Available from: https://wwwnko.moph.go.th/main_new. (in Thai)
Tha Bo District Public Health Office. Report on the results of public health operations CUP Tha Bo. Nong Khai Province; 2021.Available from: https://www.thaboph.org/index.htm. (in Thai)
Saensompet P. Effect of rehabilitation program on ability to perform activities of daily living and quality of life of physically disabled persons. [dissertation]. Thailand: Chiang Mai University; 2017. Available from: https://cmudc.library.cmu.ac.th/ (in Thai)
Srijai P, Narin R, Aungwattana S. Effect of the Empowerment Program on Muscle Exercise Practicing for Physical Disability Person Among the Village Health Volunteers. Nursing Journal CMU [Internet]. 2020 Dec. 8;47(4):129-42. Available from: https://he02.tci-thaijo.org/index.php/cmunursing/article/view/247932 (in Thai)
Shapin Ibne Sayeed, Oakman J, Dillon MP, Stuckey R. Disability, economic and work-role status of individuals with unilateral lower-limb amputation and their families in Bangladesh, post-amputation, and pre-rehabilitation: A cross-sectional study. 2022. https://doi.org/10.3233/WOR-211064
Pushpalatha R. Economic burden and psychological wellbeing among parents of children with autism and learning disability. The International Journal of Indian Psychology[Internet]. 2020 Jun. 25;8(2):895-903. Available from: https://ijip.in/wp-content/uploads/2020/06/18.01.106.20200802.pdf.
Tough H, Siegrist J, Fekete C. Social relationships, mental health and wellbeing in physical disability: A systematic review. BMC Public Health[Internet] 2017;17(1);1-18 Available from: https://doi.org/10.1186/s12889-017-4308-6 PMID: 28482878
Kamjorn A. A Study of Elderly Caregiver’s potential after 420 hours of caregiver training for Elderly Health Care Center The Thai Red Cross Society. PHJ BUU [Internet]. 2021 Dec. 23 [cited 2024 Dec. 4];16(2): 122-35. Available from: https://he02.tci-thaijo.org/index.php/phjbuu/article/view/245087 (in Thai)
Sae Tiew P, Jintakanaphan C, Rueangsawat S., Thipapal T. Study of the potential of Caregiver for the Elderly after 70 hours of Elderly Care Program Of Boromarajonani College of Nursing, Surat Thani. J Royal Thai Army Nurses [Internet]. 2019 Apr. 24 [cited 2024 Dec. 5];20(1):300-1. Available from: https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JRTAN/article/view/185123 (in Thai)
Chairin A, Piyabanditkul L. The Effectiveness of Competencies Development Program for School Age Children on Caring Hypertensive Patients in Their Family. J Royal Thai Army Nurses[Internet]. 2023 Sep. 1;24(2):180-9. Available from: https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JRTAN/article/view/256244 (in Thai)
Cherdsuntia V, Pichayapinyo P, Lagampan S. Capacity Building for Family Volunteers in Caring for the Dependency. KJN [Internet]. 2021 Jun. 15 [cited 2024 Dec. 5];28(1):33-44. Available from: https://he01.tci-thaijo.org/index.php/kcn/article/view/188076 (in Thai)
Kwanloi P, Piyabanditkul L. Effectiveness of Village Health Volunteer’s Competency Development Program for Stroke Prevention Among Hypertensive Patients in Sa Pradu Subdistrict Wichian Buri District Phetchabun Province. Romphruek Journal of the Humanities and Social Sciences[Internet]. 2021 Nov 27; 39(3):101-125. Available from: https://so05.tci-thaijo.org/index.php/romphruekj/article/view/253029 (in Thai)
Kolb DA. (2015). Experiential Learning: Experience as the Source of Learning and Development (2nd ed.). Pearson FT Press. Suapumee N, Naksrisang W, Singhasem P.Management of Experiential Learning in Nursing Education.NJPH (Journal of P.S.) [Internet]. 2017 Apr. 27 [cited 2024 Dec. 5];27(1):12-21. Available from: https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tnaph/article/view/84953 (in Thai)
Chainet M, Kawila R. Effects of caring for physically disabled at home compared with volunteer spirit health care network, Mae Lao District, Chiang Rai Province. Chiang Rai Medical Journal 2017;9(1):99-111. Available from: https://www.crhospital.org/cmj/article/FULL_20170927154823.pdf (in Thai)
Pilayon B, Nuntaboot K. Strengthening Community volunteers in caring for people with disabilities. Suranaree Journal of Science and Technology [Internet]. 2017 Oct. 20 ;24(3):343-353. Available from: https://www.thaiscience.info/Journals/Article/SJST/10988521.pdf
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสภาการพยาบาล

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.



