ประสิทธิผลของโปรแกรมการส่งเสริมความรอบรู้ในการป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ผ่าน mHealth ในกลุ่มเสี่ยงเขตเมือง

ผู้แต่ง

  • อรวรรณ สุระทด สาขาวิชาการพยาบาลเวชปฏิบัติชุมชน โรงเรียนพยาบาลรามาธิบดี คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
  • ซู้หงษ์ ดีเสมอ โรงเรียนพยาบาลรามาธิบดีคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
  • วันทนา มณีศรีวงศ์กูล โรงเรียนพยาบาลรามาธิบดี คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

DOI:

https://doi.org/10.60099/jtnmc.v40i01.270535

คำสำคัญ:

โปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ , พฤติกรรมการดูแลตนเอง , มะเร็งลำไส้ใหญ่ , ระบบติดตามดูแลสุขภาพผ่านอุปกรณ์สื่อสารเคลื่อนที่ , กลุ่มเสี่ยง

บทคัดย่อ

บทนำ โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่มีอุบัติการณ์สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับที่ 2 ของประชากรทั่วโลก ส่วนใหญ่มักไม่มีอาการในระยะแรก กระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดมาตรการป้องกัน โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ โดยวางยุทธศาสตร์ในการส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันและลดปัจจัยเสี่ยงด้านสุขภาพ ผ่านการสร้างความรอบรู้สุขภาพซึ่งจะส่งผลต่อความสามารถในการเข้าถึง เข้าใจ และใช้ข้อมูลด้านสุขภาพ ตลอดจนการตัดสินใจในการปฏิบัติเพื่อป้องกันโรค ร่วมกับการตรวจคัดกรองจะช่วยค้นหาโรคในระยะเริ่มแรกและลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ แม้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพได้ แต่อาจมีข้อจำกัดที่ต้องลางานและสูญเสียรายได้โดยเฉพาะในเขตเมือง การประยุกต์ระบบติดตามดูแลสุขภาพผ่านอุปกรณ์สื่อสารเคลื่อนที่ (mHealth) จึงเป็นแนวทางหนึ่งที่ส่งเสริมการเข้าถึงข้อมูลสุขภาพได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเสี่ยง 

วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1) เพื่อเปรียบเทียบความรอบรู้ด้านโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ทั้งโดยรวม และรายด้านของกลุ่มตัวอย่างในระยะก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรม และ 2) เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรม การดูแลตนเองเพื่อป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ของกลุ่มตัวอย่างในระยะก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรม 

การออกแบบการวิจัย การศึกษาครั้งนี้เป็นวิจัยแบบกึ่งทดลอง ชนิดกลุ่มเดียวควบคุมในตนเอง โดยประยุกต์ทฤษฎีความรอบรู้สุขภาพของนัทบีมในการพัฒนาโปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ในการป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ผ่าน mHealth โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมความรอบรู้สุขภาพทั้ง 3 ระดับในกลุ่มเสี่ยง คือ 1) ความรอบรู้สุขภาพขั้นพื้นฐาน 2) ความรอบรู้สุขภาพขั้นการมีปฏิสัมพันธ์ และ 3) ความรอบรู้สุขภาพ ขั้นวิจารณญาณ ประกอบด้วย 4 กิจกรรม ได้แก่ 1) “รู้ สู้โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่” 2) “ขยับสักนิด พิชิตโรคมะเร็ง” 3) “ความเสี่ยง ที่เลี่ยงได้” และ 4) “รู้ทัน ป้องกันได้” ซึ่งส่งผลให้เกิดความรอบรู้ในการป้องกัน โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ และนำไปสู่พฤติกรรมการดูแลตนเองเพื่อป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ 

วิธีดำเนินการวิจัย กลุ่มตัวอย่าง เป็นประชาชนกลุ่มเสี่ยงโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไป จำนวน 32 คน อาศัยอยู่ใน 8 ชุมชนเขตกรุงเทพมหานคร ที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์การคัดเข้า ดังนี้ 1) ผลการประเมินโอกาสการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ด้วยตนเองพบมีความเสี่ยงปานกลาง 2) มีประวัติบุคคล ในครอบครัวลำดับแรกเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ 3) มีอาการผิดปกติอย่างใดอย่างหนึ่งของระบบการขับถ่าย 4) สามารถสื่อสารภาษาไทย 5) มีโทรศัพท์แบบสมาร์ตโฟน สามารถเข้าถึงสัญญาณอินเตอร์เน็ตและ สามารถใช้แอปพลิเคชันไลน์และกูเกิลฟอร์มได้ และ 6) ไม่มีประวัติการป่วยหรือไม่ทราบว่าป่วยเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ กำหนดขนาดตัวอย่างเป็นไปตามหลักการของการวิเคราะห์อำนาจการทดสอบ โดยใช้โปรแกรม G*Power เครื่องมือวิจัยแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ 1) เครื่องมือคัดกรองโอกาสการเกิด โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ด้วยตนเองและเครื่องมือคัดกรองภาวะสมองเสื่อม 2) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บ รวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบประเมินความรอบรู้ในการป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ และแบบสอบถามพฤติกรรม การดูแลตนเองเพื่อป้องกันการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ และ 3) โปรแกรมการส่งเสริมความรอบรู้ใน การป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ผ่าน mHealth ประกอบด้วย แผ่นพับ วิดีทัศน์ เอกสารประกอบการ บรรยายและอินโฟกราฟิก แบบประเมินกิจกรรมทางกายและกิจกรรมฝึกทักษะเพื่อพัฒนาความรอบรู้ ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างวันที่ 1 เมษายน ถึง 30 มิถุนายน 2566 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ บรรยาย สถิติ Friedman test และเปรียบเทียบรายคู่โดยใช้สถิติ Bonferroni 

ผลการวิจัย กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง (ร้อยละ 78.1) อายุเฉลี่ย 60.59 ปี (SD = 10.64) ครึ่งหนึ่งศึกษาระดับประถมศึกษา (ร้อยละ 50.0) ไม่มีประวัติญาติสายตรงป่วยเป็นโรคมะเร็ง (ร้อยละ 56.3) ส่วนใหญ่ไม่สูบบุหรี่ (ร้อยละ 81.2) ไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ (ร้อยละ 68.7) และไม่เคยเข้ารับการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ (ร้อยละ 96.9) ผลการวิเคราะห์ความรอบรู้ด้าน โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่โดยรวม พบว่า ระยะก่อนให้การพยาบาลปกติ (M = 164.75, SD = 24.63) และ หลังให้การพยาบาลปกติ (M = 167.65, SD = 25.75) ความรอบรู้อยู่ในระดับดี ระยะหลังเข้าโปรแกรม อยู่ในระดับดีมาก (M = 188.96, SD = 22.08) ซึ่งแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (c2 = 21.39, p < .001) เช่นเดียวกับผลการเปรียบเทียบความรอบรู้รายด้าน ยกเว้นด้านทักษะการสื่อสารที่พบว่า ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ผลการวิเคราะห์พฤติกรรมการดูแลตนเองเพื่อป้องกันการเกิด โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ พบว่า ระยะก่อนให้การพยาบาลปกติเท่ากับ 34.06 (SD = 8.55) ระยะหลัง ให้การพยาบาลปกติมีค่าเฉลี่ย 35.84 (SD = 9.34) และระยะหลังเข้าโปรแกรม 41.09 (SD = 6.97) ซึ่งแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (c2 = 16.05, p < .001) เมื่อเปรียบเทียบรายคู่พบว่า ระยะก่อนให้การพยาบาลปกติกับระยะหลังให้การพยาบาลปกติ ไม่แตกต่างกัน (p > .05) ในขณะที่ ระยะก่อนให้การพยาบาลปกติ กับระยะหลังเข้าโปรแกรม และระยะหลังให้การพยาบาลปกติกับระยะหลังเข้าโปรแกรม แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .017) 

ข้อเสนอแนะ ผลการศึกษาครั้งนี้ชี้ให้เห็นถึงประสิทธิผลของโปรแกรมการส่งเสริมความรอบรู้ ในการป้องกันและคัดกรองโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ผ่าน mHealth พยาบาลเวชปฏิบัติชุมชนและทีมสุขภาพ สามารถนำโปรแกรมไปปรับใช้ในการส่งเสริมความรอบรู้และการดูแลตนเองในการป้องกันและคัดกรอง โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ของกลุ่มเสี่ยงในเขตเมือง รวมทั้งปรับรูปแบบของโปรแกรมที่ส่งเสริมความรอบรู้ ด้านทักษะการสื่อสารเพิ่มขึ้น ตลอดจนปรับสื่อออนไลน์ให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย และทำการทดสอบ และติดตามผลของโปรแกรมในการวิจัยครั้งต่อไป

Downloads

Download data is not yet available.

เอกสารอ้างอิง

Global Cancer Observatory. Estimated Number of New Cases in 2020, All cancers, Both sexes, All ages. 2020. Available from: https://gco.iarc.fr/today/online-analysis.

National Cancer Institute, Department of Medical Services, Ministry of Public Health. Hospital-based Cancer Registry, 2021 [Internet]. 2021. Available from: https://www.nci.go.th/e_book/hosbased_2563/index.html.

National Cancer Institute, Department of Medical Services, Ministry of Public Health. (2019). Strategic Plan of the National Cancer Institute, 2019-2022. Available from: https://www.nci.go.th/th/New_web2024/officer/download/nccp/NCCP_61_65.pdf

Yadollahi M, Siavashi E, Mostaghim S. The relationship between health literacy and patient participation in medical decision making among breast cancer patients. Arch Breast Cancer. 2018;181-6. doi:10.32768/abc. 201854181-186. https://doi.org/10.32768/abc.201854181-186

Huang Y, Qi F, Wang R, Jia X, Wang Y, Lin P, et al. The effect of health literacy on health status among residents in Qingdao, China: a path analysis. Environ Health Prev Med. 2021;26(1):78. https://doi.org/10.1186/s12199-021-01001-8

Sørensen K, Van den Broucke S, Fullam J, Doyle G, Pelikan J, Slonska Z, Brand H, (HLS-EU) Consortium Health Literacy Project European. Health literacy and public health: a systematic review and integration of definitions and models. BMC Public Health. 2012; 12:80. https://doi.org/10.1186/1471-2458-12-80

Buranarek S, Thammaraksa P, Kaewchantra K, Khumwong M. Health status and access to health services of the Samsen canal-side community, Ratchathewi district, Bangkok. Boromarajonani College of Nursing, Bangkok Journal. 2017;33(2):54-8.

Smith B, Magnani JW. New technologies, new disparities: The intersection of electronic health and digital health literacy. Int J Cardiol. 2019; 292:280-2. https://doi.org/10.1016/j.ijcard.2019.05.066

Bhatt S, Isaac R, Finkel M, Evans J, Grant L, Paul B, et al. Mobile technology and cancer screening: Lessons from rural India. J Glob Health. 2018;8(2):020421. https://doi.org/10.7189/jogh.08.020421

Information and Communication Technology Center, Office of the Permanent Secretary Ministry of Public Health. Digital Health Strategy 2021-2025. 2021.

Nutbeam D. The evolving concept of health literacy. Soc Sci Med. 2008;67(12):2072-8. https://doi.org/10.1016/j.socscimed.2008.09.050

Photphrom N, Wilasrasamee C, Ueanoraseth J, Suwannathamma W, Mongkolsumrit S. Development of a scoring system for colorectal cancer screening: an alternative for accessing health services. Ramathibodi Medical Journal. 2016;39(3):155-62.

Lee M, Lee MA, Ahn H, Ko J, Yon E, Lee J, et al. Health literacy and access to care in cancer screening among Korean Americans. Health Lit Res Pract. 2021;5(4). https://doi.org/10.3928/24748307-20211104-01

Jitapunkul S, Lailert C, Worakul P, Srikiatkhachorn A, Ebrahim S. Chula mental test: A screening test for elderly people in less developed countries. Int J Geriatr Psychiatry. 1996;11(8):715-20.

Kawthaisong C, Promthet S, Kamsa-Ard S, Duangsong R. Questionnaire validation of colorectal cancer literacy scale among Thai people in Northeastern Thailand. Asian Pac J Cancer Prev. 2019;20(2):645-51. https://doi.org/10.31557/apjcp.2019.20.2.645

Sukumporn S, Pommala W. Effectiveness of Program to Improve Self-Care Behaviors to Prevent Colon and Rectal Cancer of Hospital Personnel. RHPC9J [Internet]. 2021 Sep. 21 [cited 2024 Aug. 6];15(38):632-44. Available from: https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/252066

Salmani H, Ahmadi M, Shahrokhi N. The impact of mobile health on cancer screening: A systematic review. Cancer Inform. 2020;19: 1176935120954191. https://doi.org/10.1177/1176935120954191

Smith B, Magnani JW. New technologies, new disparities: The intersection of electronic health and digital health literacy. Int J Cardiol. 2019;292: 280-2. doi: 10.1016/j.ijcard.2019.05.066.

Koirala R, Gurung N, Dhakal S, Karki S. Role of cancer literacy in cancer screening behaviour among adults of Kaski district, Nepal. PLoS One. 2021;16(7). https://doi.org/10.1371/journal.pone.0254565

Wittich AR, Shay LA, Flores B, De La Rosa EM, Mackay T, Valerio MA. Colorectal cancer screening: Understanding the health literacy needs of Hispanic rural residents. AIMS Public Health. 2019;6(2): 107-20. https://doi.org/10.3934/publichealth.2019.2.107

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2025-02-02

รูปแบบการอ้างอิง

1.
สุระทด อ, ดีเสมอ ซ, มณีศรีวงศ์กูล ว. ประสิทธิผลของโปรแกรมการส่งเสริมความรอบรู้ในการป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ผ่าน mHealth ในกลุ่มเสี่ยงเขตเมือง. J Thai Nurse Midwife Counc [อินเทอร์เน็ต]. 2 กุมภาพันธ์ 2025 [อ้างถึง 29 ธันวาคม 2025];40(01):47-61. available at: https://he02.tci-thaijo.org/index.php/TJONC/article/view/270535

ฉบับ

ประเภทบทความ

Research Articles