การพัฒนารูปแบบการดูแลตนเองเพื่อป้องกันโรคไตเรื้อรังระยะที่ 3 ของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 โดยกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน
คำสำคัญ:
การพัฒนารูปแบบการจัดการตนเอง, โรคไตเรื้อรังระยะที่ 3, เบาหวานชนิดที่ 2, การมีส่วนร่วมของชุมชนบทคัดย่อ
การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา พัฒนา ประเมินรูปแบบการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 เพื่อป้องกันโรคไตเรื้อรังระยะที่ 3 โดยการมีส่วนร่วมของชุมชน กลุ่มตัวอย่าง 169 คน ประกอบด้วย กลุ่มตัวอย่างระยะที่ 1 และ 2 จำนวน 97 คน ได้แก่ 1) ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 2) ผู้ดูแล 3) อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และ 4) ผู้แทนหน่วยบริการสุขภาพและเครือข่าย และกลุ่มตัวอย่างระยะที่ 3 ได้แก่ ผู้ป่วยที่มีภาวะไตเสื่อมระยะที่ 2 จำนวน 72 คน เก็บข้อมูลระหว่างมิถุนายน 2566– มิถุนายน 2567 การศึกษาเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 การวิเคราะห์ปัญหาและความต้องการ ระยะที่ 2 พัฒนารูปแบบการจัดการตนเองเพื่อป้องกันโรคไตเรื้อรังระยะที่ 3 และ ระยะที่ 3 ประเมินผล โดยใช้แบบสอบถาม สัมภาษณ์เชิงลึกและการสนทนากลุ่ม ค่า IOC อยู่ระหว่าง 0.50–1.00 และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.80 วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และ t-test for independent samples ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา
ผลการศึกษา ระยะที่ 1 พบว่าการจัดการตนเองอยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ 63.1 และมีภาวะไตเสื่อมระยะที่ 2 สูงถึงร้อยละ 59.0 ระยะที่ 2 พบข้อจำกัดด้านนโยบายที่เน้นบุคลากรทางการแพทย์ ขาดการมีส่วนร่วมจากเครือข่ายสุขภาพ และไม่มีแนวทางคัดกรองกลุ่มเสี่ยงที่ชัดเจน ระยะที่ 3 พบว่ากลุ่มทดลองมีพฤติกรรมการรับประทานอาหารดีขึ้น (p=0.047) และค่า GFR (p = 0.015) ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่พฤติกรรมการใช้ยา การออกกำลังกาย และค่า HbA1C ไม่พบความแตกต่าง สะท้อนว่าการจัดการตนเองส่งผลต่อพฤติกรรมบางด้าน แต่ยังมีข้อจำกัดในการเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ทางคลินิกอย่างยั่งยืน
Downloads
เอกสารอ้างอิง
กรมควบคุมโรค. (2566). การป้องกันโรคไตเรื้อรัง: รณรงค์วันไตโลก 2566. สืบค้นจาก
https://ddc.moph.go.th/brc/news.php?news=32575&deptcode=brc
ชวมัย ปินะเก, อมฤต สุวัฒนศิลป์, วรรณพร คงอุ่น, นิธิยา นามวงศ์ และสุคนธ์ทิพย์ เรียงริลา. (2563). การพัฒนา
โปรแกรมการสนับสนุนการจัดการตนเองสำหรับผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะก่อนล้างไต. วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม, 17(3), 64–75.
ฉวีวรรณ กลิ่นหอม, นิรุวรรณ เทิร์นโบล์ และสุรศักดิ์ เทียบฤทธิ์. (2563). การพัฒนารูปแบบการส่งเสริมการใช้ยาใน
ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มีภาวะไตเสื่อม โรงพยาบาลโพธิ์ไทร อำเภอโพธิ์ไทร จังหวัดอุบลราชธานี. วารสารวิจัยสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี, 11(1), 31–41.
ปริยากร วังศรี. (2559). ผลของโปรแกรมการส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนและพฤติกรรมในการควบคุมภาวะไต
เสื่อมในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2. [วิทยานิพนธ์พยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต]. มหาวิทยาลัยคริสเตียน.
มัณฑริกา แพงบุดดี และวิลาวัณย์ ชมนิรัตน์. (2564). การพัฒนาแนวทางการดูแลผู้ป่วยความดันโลหิตสูง เพื่อป้องกัน
โรคไตเรื้อรังในชุมชน ตำบลหนองแดง อำเภอสีชมพู จังหวัดขอนแก่น. วารสารวิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพ, 14(3), 179–191.
วีนัส สาระจรัส และแอนนา สุมะโน. (2561). ผลของกระบวนการสนับสนุนการจัดการตนเองต่อการชะลอไตเสื่อมใน
ผู้ป่วยเบาหวานที่มีภาวะไตเรื้อรัง โรงพยาบาลแหลมฉบัง ชลบุรี. วารสารสาธารณสุขและวิทยาศาสตร์สุขภาพ, 1(3), 13–26.
สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย. (2565). คำแนะนำสำหรับการดูแลผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังก่อนการบำบัดทดแทนไต พ.ศ.
กรุงเทพมหานคร: บริษัท ศรีเมืองการพิมพ์.
สุเทพ แก้วสีขาว. (2567). การพัฒนารูปแบบการควบคุมระดับความดันโลหิตในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง
เพื่อป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง ในตำบลบ้านเกิ้ง อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม. วารสารวิชาการ
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดมหาสารคาม, 8(16), 320–330.
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสระแก้ว. (2565). ผลการดำเนินงานการควบคุมและป้องกันโรคไม่ติดต่อ จังหวัดสระแก้ว
ปี 2565.
อังศวีร์ จันทะโคตร, อุไรวรรณ แสงส่อง, ดิษฐพล ใจซื่อ, ณัฐสุดา คติชอบ และสิริทรัพย์ สีหะวงษ์. (2565). การพัฒนา
รูปแบบการป้องกันโรคความดันโลหิตสูงสำหรับกลุ่มเสี่ยงในชุมชนชนบทอีสานโดยการมีส่วนร่วมของ
ชุมชน. วารสารพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข, 32(2), 118–131.
อรุณ จิรวัฒน์กุล. (2558). ชีวสถิติสำหรับงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ (พิมพ์ครั้งที่ 3). ขอนแก่น: ภาควิชาชีวสถิติ
และประชากรศาสตร์, คณะสาธารณสุขศาสตร์, มหาวิทยาลัยขอนแก่น.
อ้อมฤทัย มั่นในบุญธรรม. (2562). ผลของโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมโดยการเสริมสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพ
ในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและชะลอไตเสื่อมของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 โรงพยาบาลส่งเสริม
สุขภาพตำบลสำราญ. วารสารสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น, 1(2), 121–133.
Chan, C. T., Collins, J., Duhamel, C., Francis, A., Goldstein, M., Hemmelgarn, B., et al. (2022).
Community-based kidney care: Challenges and recommendations. Kidney International Reports, 7(3), 654–662. https://doi.org/10.1016/j.ekir.2021.12.012
Gamboa Moreno, E., Mateo-Abad, M., Ochoa de Retana García, L., Vrotsou, K., Del Campo Pena, E.,
Sánchez Perez, Á., et al. (2019). Efficacy of a self-management education programme on patients with type 2 diabetes in primary care: A randomised controlled trial. Primary Care Diabetes, 13(2), 122–133. https://doi.org/10.1016/j.pcd.2018.10.001
Kanfer, F. H., & Gaelick-Buys, L. (1991). Self management methods. In F. H. Kanfer & A. Goldstein
(Eds.), Helping people change: A textbook of methods (pp. 305–360). New York: Pergamon.
Kemmis, S., & McTaggart, R. (1988). Participatory action research: Communicative action and public
sphere. In N. K. Denzin & Y. S. Lincoln (Eds.), The SAGE handbook of qualitative research (3rd ed.). SAGE Publications.
Van Puffelen, A. L., Rijken, M., Heijmans, M. J. W. M., Nijpels, G., Schellevis, F. G., & Diacourse Study
Group. (2019). Effectiveness of a self-management support program for type 2 diabetes patients in the first years of illness: Results from a randomized controlled trial. PLoS ONE, 14(6), e0218242. https://doi.org/10.1371/journal.pone.0218242
Wang, V., Vilme, H., & Maciejewski, M. L.,. (2018). The economic burden of chronic kidney disease
and end-stage renal disease. Seminars in Nephrology, 36, 319–330.
https://doi.org/10.1016/j.semnephrol.2016.05.008
World Health Organization. (2022). Noncommunicable diseases (NCDs). Retrieved January 9, 2023,
from https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/noncommunicable-diseases.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร วารสารสาธารณสุขและสุขภาพศึกษา (Thai Journal of Public Health and Health Education) เป็นลิขสิทธิ์ของ วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี








