วิจัยประเมินผลการพัฒนาระบบบริการผู้ป่วยปากแหว่งเพดานโหว่ โรงพยาบาลบุรีรัมย์
Main Article Content
บทคัดย่อ
หลักการและเหตุผล: ปากแหว่งเพดานโหว่เป็นความพิการแต่กำเนิดบริวณใบหน้าและขากรรไกรที่พบได้บ่อยสามารถรักษาได้แต่มีความซับซ้อนและระยะเวลาการดูแลรักษายาวนาน ต้องมีบุคลากรการแพทย์หลายสาขาทำงานร่วมกัน การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัญหาการดูแลผู้ป่วยปากแหว่งเพดานโหว่ และประเมินผลการพัฒนาระบบบริการผู้ป่วยปากแหว่งเพดานโหว่โรงพยาบาลบุรีรัมย์ โดยรูปแบบซิปป์ (CIPP Model) ประกอบด้วยการประเมินปัจจัยบริบท ปัจจัยนำเข้า กระบวนการ และผลลัพธ์
วิธีการศึกษา: เป็นการวิจัยประเมินผล (Evaluation Research) รวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม และการสนทนากลุ่ม กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ปกครองของเด็กปากแหว่งเพดานโหว่ที่พาเด็กมารับการรักษาที่คลินิกยิ้มสวยเสียงใส โรงพยาบาลบุรีรัมย์ จำนวน 92 คน และกลุ่มคณะทำงาน บุคลากรโรงพยาบาลบุรีรัมย์จำนวน 13 คน เก็บข้อมูล ระหว่างวันที่ 22 มกราคม- 31 มีนาคม พ.ศ. 2567 วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณใช้สถิติพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์เนื้อหา (content analysis) เชิงคุณภาพจากการสนทนากลุ่ม
ผลการศึกษา: พบว่า 1) ด้านบริบท มีการดำเนินการสอดคล้องกับเข็มมุ่งของกลุ่มงานและโรงพยาบาล แผนงาน โครงการมีความเป็นไปได้สูงการแก้ปัญหาสุขภาพช่องปากของผู้ป่วยปากแหว่งเพดานโหว่ แต่ยังขาดแผนการด้านงบประมาณพัฒนาบริการ สถานที่ในการดำเนินกิจกรรม มีความเหมาะสมดี แต่มีที่นั่งรอรักษาไม่เพียงพอ 2) ด้านปัจจัยนำเข้า โรงพยาบาลมีนโยบายให้การช่วยเหลือค่ารักษาบางส่วนที่นอกเหนือจากสิทธิรักษาทันตกรรม มีการทำงานร่วมกัน มีบริการหลากหลายทั้งการฝึกแปรงฟัน ทันตกรรมเด็ก ทันตกรรมจัดฟัน การส่งต่อ และมีเจ้าหน้าที่จากสภากาชาดจังหวัดมาร่วมให้บริการ มีการประชุมอย่างสม่ำเสมอ เหมาะสมด้านเวลาดำเนินการ แต่ยังขาดการรวบรวมข้อมูลในการสร้างเสริมสุขภาพรายบุคคล การส่งเสริมด้านโภชนาการเด็ก และทีมแพทย์ในการช่วยเหลือทางด้านจิตใจสำหรับเด็กบางราย 3) ด้านกระบวนการ บรรลุเป้าหมายของโครงการอยู่ในระดับมาก ยังขาดการด้านการสื่อสารระหว่างหน่วยงาน 4) ด้านผลลัพธ์ การดำเนินงานบรรลุตามวัตถุประสงค์ บุคลากรมีส่วนร่วมมีความพึงพอใจและภาคภูมิใจในการปฏิบัติงาน ผู้รับบริการมีความพึงพอใจบริการในระดับสูง (ค่าเฉลี่ย 4.1 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.4) ร้อยละความพึงพอใจเท่ากับ 80.9 ปัญหาอุปสรรคในการเข้าถึงบริการคือ ความลำบากในการเดินทางมารับบริการต่อเนื่อง และสถานบริการใกล้บ้านยังไม่สามารถให้ข้อมูลและการรักษาสำหรับเด็กปากแหว่งโหว่ที่ดีพอ
สรุป: ผลการประเมินครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าการให้บริการผู้ป่วยปากแหว่งเพดานโหว่ยังมีปัญหาการวางแผนงบประมาณ การรวบรวมข้อมูลในการสร้างเสริมสุขภาพรายบุคคล การส่งเสริมด้านโภชนาการเด็ก การประสานทีมแพทย์ในการดูแลสุขภาพจิต และการพัฒนาระบบการส่งต่อผู้ป่วยทันตกรรมเพื่อให้ได้รับการดูแลโดยหน่วยบริการสุขภาพใกล้บ้านอย่างเหมาะสม
Article Details

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
References
Mossey PA, Shaw WC, Munger RG, Murray JC, Murthy J, Little J. Global oral health inequalities: challenges in the prevention and management of orofacial clefts and potential solutions. Adv Dent Res. 2011;23(2):247-58. doi: 10.1177/0022034511402083.
Mossey PA, Catilla EE. Global registry and database on craniofacial anomalies: Report of a WHO Registry Meeting on Craniofacial Anomalies. Geneva: World Health Organization; 2003.
Chowchuen B, Thanaviratananich S, Chichareon V, Kamolnate A, Uewichitrapochana C, Godfrey K. A multisite study of oral clefts and associated abnormalities in Thailand: The epidemiologic data. Plast Reconstr Surg Glob Open. 2016;3(12):e583. doi: 10.1097/GOX.0000000000000570.
ธิดา รัตนวิไลศักดิ์, พรพุทธิ ภัทรวุฒิพร. การประเมินภาพถ่ายรังสีกะโหลกศีรษะด้านข้างในผู้ป่วยเด็กกลุ่ม อายุ 6-12 ปี ที่ได้รับการรักษาภาวะปากแหว่งเพดานโหว่ข้างเดียว. วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์. 2565;37(3):719-27.
Chopra A, Lakhanpal M, Rao NC, Gupta N, Vashisth S. Oral health in 4-6 years children with cleft lip/palate: a case control study. N Am J Med Sci. 2014;6(6):266-9. doi: 10.4103/1947-2714.134371.
Vyas T, Gupta P, Kumar S, Gupta R, Gupta T, Singh HP. Cleft of lip and palate: A review. J Family Med Prim Care. 2020;9(6):2621-5. doi: 10.4103/jfmpc.jfmpc_472_20.
Stufflebeam DL, Coryn CL. Evaluation theory, models, and applications. 2nd ed. San Francisco, CA: John Wiley & Sons; 2014.
ธวัชชัย ปินเครือ. การประเมินผลโครงการต้นแบบตำบลฟันดีตำบลแม่พริก อำเภอแม่พริก จังหวัดลำปาง. วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน. 2563;6(2):83-97.
วรางคนา เวชวิธี, สุรัตน์ มงคลชัยอรัญ. การประเมินผลแผนงานทันตสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุ ประเทศไทยระยะที่ 1 (พ.ศ.2558-2561). การส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม. 2565;45(2):76-88.
Wayne WD, Cross CL. Biostatistic: A Foundation of Analysis in the Health Sciences. 6th ed. New Jersey: John Wiley & Sons, Inc.; 1995:117-8.
เพ็ญแข ลาภยิ่ง. คู่มือการดำเนินงานการดูแลเด็กปากแหว่งเพดานโหว่แบบองค์รวมไร้รอยต่อ. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกในพระบรมราชูปถัมภ์; 2564.
ยุพิน ปักกะสังข์, สุธีรา ประดับวงษ์, ชิโนรส ปิยกุลมาลา, อารยา ภิเศก. ปัญหาการเข้ารับบริการของผู้ป่วยปากแหว่งเพดานโหว่. ศรีนครินทร์เวชสาร. 2565;37(4):331-6.
Allaf H, Helal N, Basri O, AlShadwi A, Sabbagh H. Care barriers for patients with nonsyndromic orofacial clefts in Saudi Arabia: A cross-sectional study. Cleft Palate Craniofac J. [in press].
Nidey NL, Wehby GL. Barriers to health care for children with orofacial clefts: a systematic literature review and recommendations for research priorities. Oral Health Dent Stud. 2019;2(1):1-12. doi: 10.31532/OralHealthDentStud.2.1.002.